วันเสาร์ที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

[TH] วิเคราะห์เจาะลึก 360° เอสแห่งSKE48 มัตสึอิ เรนะ pt1



วิเคราะห์เจาะลึก 360° เอสแห่งSKE48 มัตสึอิ เรนะ pt1
จาก SKE48 Marutto
——
การย้ายโรงเรียนที่ทำให้ชีวิตหนีโลกเริ่มต้นขึ้น

ฉันเกิดเมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 1991 ที่บ้านเกิดของคุณแม่ที่เฮียวโก
เท่าที่ได้ยินมา เมื่อก่อนฉันเป็นทารกที่ไม่เคยร้องไห้เลยแถมนอนตลอด
แม้แต่ตอนที่ต้องทานอาหารยังไ่ม่ยอมลืมตาขึ้นมา จนถึงขั้นที่พยาบาลเป็นห่วงเลยนะ (ว่าถ้ายังหลับต่อจะอดตาย)
คุณพ่อคุณแม่ของฉันตั้งชื่อ "เรนะ" ให้ เพราะไม่ว่านามสกุลจะเป็นยังไง ผล(ทำนายดวงด้วยขีดตัวอักษรในชื่อของญี่ปุ่น)ก็จะยังคงไม่เปลี่ยนไปล่ะ
เพราะแบบนั้นไม่ว่าฉันจะไปแต่งงานเมื่อไหร่ก็รับประกันได้ว่าจะมีชีวิตที่สดใส

ในช่วงเด็กๆฉันใช้เวลาไปกับการนั่งดูการ์ตูนดิสนีย์ ดูไปก็พูดประโยคภาษาอังกฤษตามในหนังไป

ทำให้ตอนนั้นได้ยินว่าฉันเก่งอังกฤษน่าดูเลยล่ะ แถมยังความจำดีด้วย ตอน 4 ขวบก็ลองเรียนหนังสือ
ภาษาญี่ปุ่นของป.1ได้หมดแล้ว ค่อยๆท่องไปทีละคำทีละคำ 
เป็นคนที่จะเอาตัวถลำลึกไปกับอะไรที่สนใจมากๆ เจาะปรุโปร่งทุกอณูของมัน
ในด้านนี้ของฉันเนี่ยก็ไมไ่ด้เปลี่ยนไปเลยจนกระทั่งตอนนี้นะ ฮ่าๆ


ตอนอนุบาลฉันสอนเด็กๆที่อายุน้อยกว่าพับกระดาษ ปั้นดินเป็นก้อนดังโงะให้พวกเขา

เป็นคนที่จะตามพวกเขาทีละคนๆแล้วพามารวมกลุ่ม "มาเล่นด้วยกันเถอะ!" ฉันเคยเป็นเด็กที่เป็นผู้นำแบบนั้นล่ะค่ะ
พอมาดูว่าตอนนี้โตมาเป็นแบบไหนเนี่ยมันเหนือจินตนาการจริงๆ (หัวเราะ)
เอาง่ายๆ ฉันเป็นคนที่โดนเลี้ยงดูมาราวกับเจ้าหญิง คงเพราะคุณครูของฉันตอนอนุบาลคอยชมว่า "เรนะจังนี่น่ารักจังเลยเนาะ?"ตลอด ฉันไม่เคยรู้จักการพูด "ขอโทษ"เลย
ถึงจะฉลาดเกินวัยและเข้าใจผู้คนรอบข้างอยู่เสมอ แต่เวลาเถียงกันทีไรก็จะคิดว่าตัวเองถูกอยู่ตลอด
จะยืนยันแต่ความคิดตัวเองและไม่เคยรับฟังคนอื่นซักนิด เป็นเด็กดื้อจริงๆนะตอนนั้น

พอเข้าโรงเรียนประถม ฉันก็เริ่มหลงรักการเรียน ทบทวนบทเรียนอย่างสนุกสนานและชอบมากเลยที่โดนชมหลังจากได้คะแนนเต็ม ระหว่างการสอนก็กระตือรือร้นมากที่จะเรียนหนังสือ

แต่พอฉันย้ายโรงเรียนตอน ป.2 "ชีวิตหนีโลก"ของฉันก็เริ่มขึ้น เมื่อสภาพแวดล้อมเปลี่ยนไปอย่างกระทันหัน
ฉันสูญเสียจุดยืนและไม่รู้อีกต่อไปว่าจะต้องทำตัวอย่างไร ใจสู้ของฉันลดน้อยลงเรื่อยๆเรื่อยๆ
ฉันเข้ากับโรงเรียนใหม่ไม่ได้และสุดท้ายก็ต้องไปลี้ภัยอยู่แต่ในห้องสมุด ที่นั่นฉันพบกับเด็กสาวคนอื่นๆที่มาห้องสมุดเพราะรักการอ่าน
และเข้ามาพูดกับฉันว่า "มาเป็นเพื่อนกันนะ" สำหรับคนเหล่านั้นที่ฉันสนิทสนมด้วยดี เราจะคุยและกรี๊ดกันเรื่องอนิเมและเกม
แม้แต่เล่นเลียนแบบตัีวละครในแม่มดน้อยโดเรมีด้วยกัน ในตอนนี้แหละเป็นครั้งแรกที่ฉันได้เข้าไปถึงโลกของโอตาคุ

คิดว่าทุกๆอย่างในตัวฉันตอนนั้น ทั้งความคิดอะไรด้วยแสดงให้เห็นว่าฉันเป็นเด็กที่ขวางโลกสุดๆ

ในคาบภาษาญี่ปุ่นที่เราต้องโต้วาทีกัน ฝ่ายหนึ่งมีฉันอยู่แค่คนเดียว
พอเริ่มที่จะพูดสนับสนุนความเห็นส่วนน้อยของตัวเอง ทุกคนในห้องก็จะรุมสับทันที
และคุณครูเองก็ตัดบทไปว่า "เข้าใจแล้วๆ หยุดเถอะ"
การย้ายโรงเรียนทำให้ฉันไม่เป็นตัวของตัวเอง เปิดเผยตัวตนออกมาไม่ได้อีกต่อไป
แต่ยังไงตอนนั้นก็คิดว่าจะต้องให้คนอื่นๆสนใจฉันให้ได้ ด้วยการพยายามกรอกหูตัวเองว่า "ฉันน่ะต่างจากพวกนั้นนะ"
สุดท้ายก็สะกดจิตตัวเองไป ซักประมาณ ป.5 ที่อาการ "จูนิเบียว"(note:เด็กอวดเก่งอะไรแบบนั้น) ของฉันเริ่มลุกลาม


ชีวิตวัยรุ่นที่จมปลักไปกับอนิเมและเกม



สถานการณ์ไม่ได้เปลี่ยนไปมากเท่าไหร่พอขึ้นม.ต้นไปแล้ว ฉันเป็นคนจืดจางประจำชั้นเรียน
แต่ได้เห็นเด็กสาวคนอื่นๆไปตัดกระโปรงตัวเองให้สั้น ย้อมผม ไว้ผมยาว นั่นน่ะทำให้ฉันอยากจะทำอะไรที่มันขัดแย้งกันขึ้นมา
"ถ้าอย่างนั้น ฉันจะทำให้มันตรงข้ามเลย!"
พูดถึงเรื่องนิสัยประหลาดๆ เรื่องเรียนก็ด้วยเหมือนกัน ในการสอบครั้งแรกฉันได้อันดับที่ 9 แต่ไม่อยากจะเด่นมากหลังจากนั้นก็เลยพยายามทำข้อสอบแค่ให้ผ่านและทำให้ตัวเองอยู่ในระดับกลางๆตลอด
และหลังจากนั้นมาความรักของฉันที่มีต่ออนิเมและเกมก็พลุ่งพล่านก็ยิ่งทำให้ไปอยู่ในมุมมืดมากเข้าไปอีก
ตกหลุมรักน่ะหรอ? มีแต่กับตัวละคร 2Dเท่านั้นแหละ
ตัวฉันไม่ได้หน้าตาดีมากเท่าไหร่เพราะแบบนั้นก็เลยไม่เคยมีใครมาสารภาพรักด้วยเลย
เมื่อไหร่ที่มีผู้ชายมาคุยกับฉัน ก็จะตอบสนองไปด้วยการพยักหน้าเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ในตอนนั้นคนที่ฉันอยากสนิทเดียวมีแค่ตัีวละครในโอโตเมะเกม(เกมจีบหนุ่ม)เท่านั้นแหละค่ะ


การค้นพบศิลปะการแสดงและกระเทาะเปลือกของตัวเองออกมา


หลังจากใช้เวลา3ปีหมกมุ่นอยู่กับเกมและอนิเม ฉันเข้าเรียนในโรงเรียนม.ปลายสายธุรกิจ

ฉันมีแผนการในใจล่ะว่าในอนาคตอยากจะเป็นนักแสดงแต่ก็ต้องการมีทักษะอื่นที่เอาไว้หาเงินตอนที่ไม่มีใช้
ก็เลยไปสอบพวกใบรับรองมาเยอะแยะเลยค่ะ ทั้งใบรับรองด้านการประมวลผลคำ อังกฤษเพื่อธุรกิจ การวิเคราะห์ข้อมูล บลา บลา 
ก็คือ พอฉันเข้าม.ปลายแล้วฉันก็อยากเป็นคนปกติขึ้นมา ฉันอยากจะเป็นแค่คนอื่นที่คอยเฝ้ามองอยู่ห่างๆ
เพราะแบบนั้นก็เลยเป็นเย็นชาขึ้นเรื่อยๆ เหมือนกับว่า..ถอดใจกับโลกใบนี้ไปแล้วล่ะค่ะ ฮ่าๆ
ตอนนั้นสิ่งที่ฉันถนัดที่สุดคือการพยายามลบร่องรอยการมีตัวตนของตัวเอง
ถ้ามีอะไรซักอย่างเกิดขึ้นกับฉัน ฉันก็ไม่แม้แต่เหล่มอง จะแค่รอคอยให้เหตุการณ์นั้นๆจบลงโดยไม่พูดอะไรซักคำ
แม้แต่เวลาที่เพื่อนร่วมชั้นพยายามเข้ามาพูดคุยด้วย ฉันก็โดนออร่าสดใสวัยเยาว์ของพวกเค้ากดดันจนพูดตอบอะไรไม่ออก
ฉันไม่ใช่พวกหัวต่อต้านอะไรนะ ตรงกันข้ามฉันเป็นแค่คนธรรมดาๆที่อยู่ในกรอบเสมอ
และด้วยที่ฉันอยากจะขึ้นไปยืนบนเวที ก็เลยเข้าชมรมการแสดงของที่โรงเรียน
แล้วก็ถูกแต่งตั้งเป็นหัวหน้าของเหล่านักแสดงและกลายเป็นคนที่คอยผลักดันชมรมไปเลย
ถึงปกติจะเป็นคนนิ่งๆแต่ถ้าเป็นเรื่องที่อยากทำก็จะเป็นคนออกหน้าเสมอ
ฉันทั้งสร้างของตกแต่ง กำกับการแสดง คอยฝึกซ้อมกับเหล่าสมาชิกยันดึกดื่นทุกๆวัน
การที่ได้ทำอะไรที่ตัวเองรัก ทำให้รู้สึกว่าการไปโรงเรียนเป็นเรื่องสนุกขึ้นมาอีกครั้งหลังจากที่ไม่ได้รู้สึกมานานแล้ว
ฉันได้ยืนบนเวทีครั้งแรกในงานโรงเรียน ตอนนั้นเล่นเป็นเด็กสาวน่ารักผู้แสนน่าสงสารเพื่อเธออยู่ๆก็เดินไปเจอแมลงสาปแล้วก็สติแตกหมดมาดเละเทะ
จำได้ว่าตอนที่เล่นละครนี้ครั้งแรก เพื่อนร่วมชั้นของฉันก็ตะลึงกันไปใหญ่
 "ไม่เคยเห็นเธอเป็นแบบนั้นเลยนะ" "ไม่คิดเลยว่าจะพูดเสียงดังได้ขนาดนี้น่ะ!" 
มันไม่ใช่ละครที่ดีอะไรหรอกนะ แต่ต้องขอบคุณงานโรงเรียนครั้งนั้นที่ทำให้ฉันตัดสินใจได้แน่นอนว่า ฉันอยากแสดง





สถานที่แสนสำคัญ SKE48

ท่ามกลางชีวิตวัยเรียนไร้สีสันที่หมกมุ่นอยู่กับอนิเมและเกม ฉันได้ประสบกับการค้นพบชนิดพลิกฟ้าดิน
นั่นคือ AKB48ซัง 
ในความคิดของฉันมันมีแต่ในโลก2Dเท่านั้นแหละ ที่สาวๆจะจงใจสะบัดกระโปรงเปิดน่ะ
แต่ทันใดนั้นฉันก็เห็นพวกเขาทำแบบนั้นเลย ของจริง  ในรายการเพลงที่ได้ดู (note - เพลงskirt hirari..)
"อะไรเนี่ย!? วงสุดเจ๋งนี่มันอะไรกัน!!" แล้วก็รีบไปหาข้อมูลเกี่ยวกับพวกเค้าบนเน็ตเลยค่ะ
วันต่อมาก็ไปคาราโอเกะกับเพื่อนเพื่อร้องเพลงAKBเลย (ฮ่า) 
พออัลบั้มสเตจวางขายฉันก็ตื่นเต้นดีใจมาก มีความสุขสุดๆเลยตอนได้ซื้ออัลบั้มพวกนั้น
ทุกๆเดือนเดือนละหนึ่งอัลบั้ม โอชิของฉันตอนนั้นคือคุณโทจิม่า ฮานะ 
ทั้งการร้องเพลง สีหน้า ทุกๆอย่างของเธอนั้นช่างน่าหลงใหลเหลือเกิน

ตอนนั้นคิดจริงจังเลยนะว่าจะสมัครออดิชั่นAKB48รุ่นห้า แต่ฉันไปโตเกียวไม่ได้ก็เลยต้องยอมแพ้ไป
นั่นแหละที่ได้ยินว่าSKE48กำลังจะตั้งขึ้นในนาโกย่า ฉันไม่ลังเลเลย "อยากจะออดิชั่นให้ผ่าน!!"
ถึงอย่างนั้นก็เตรียมใจไว้แล้วล่ะว่าคุณพ่อคุณแม่จะคัดค้าน แต่ดันกลายเป็นว่าพวกเขาอนุญาตซะแบบนั้น "ก็ดีนี่" 
ตอนนั้นคุณย่าจากไปอย่างกระทันหันด้วยโรคมะเร็ง คุณพ่อเลยพูดสนับสนุนฉันว่า "เราไม่รู้หรอกว่าชีวิตเราต้องเจอกับอะไรต่อไปบ้าง ทำอะไรที่อยากทำไปเถอะ" 
แต่คุณพ่อคุณแม่ก็ไม่ได้คิดจริงจังว่าเค้าจะรับฉันเข้าวงและถึงฉันจะผ่านออดิชั่นเข้าไปแล้ว
พวกเขาก็มั่นใจว่าฉันจะต้องยอมแพ้เพราะสภาพร่างกายปวกเปียกก่อนที่จะเริ่มแสดงครั้งแรกด้วยซ้ำ

แน่นอนว่าฉันดีใจมากที่ผ่านการออดิชั่น แต่พอได้ยินว่าต้องแสดงสเตจ Party ga Hajimaruyo ก็ถึงกับหลั่งน้ำตา
เพราะพอคิดขึ้นมาว่าได้ทำอะไรตามที่AKB48ซังเคยทำมาก่อนก็รู้สึกว่าดีใจเหลือเกิน
ปัญหาคือฉันไม่มีประสบการณ์ด้านการเต้นและร้องเพลงเลยซักนิด ในช่วงแรกๆแค่ตามทุกคนให้ทันก็แทบตายแล้ว
แต่ปัญหาที่ใหญ่ยิ่งกว่านั้นก็คือ ฉันจะเข้ากับวงที่เต็มไปด้วยเด็กสาวมากมายได้ไหมนะ?
แน่นอนว่าเป็นไปไม่ได้แน่นอนที่ฉันจะเข้าไปชวนใครเค้าคุยก่อน
ก็จริงที่เป็นคนขี้อายตั้งแต่เกิด แต่ยิ่งไปกว่านั้นคือฉันไม่รู้ว่าสาวๆในวัยฉันน่ะเค้าคิดอะไรกันบ้าง
และนั่นทำให้รู้สึกกลัว สาวๆพวกนี้เค้าชอบอะไรกันนะ? ทำไมถึงมาเข้าSKE48?
ไม่มีทางแน่ๆที่พวกเค้าจะมาสนใจถ้าไปชวนคุยแต่เรื่องอนิเมกับเกม ใช่ไหม?

ฉันกังวลไร้สาระมากเกินไปจนกระทั่งก่อนถึงวันโชนิจิของสเตจแรกของพวกเรา ฉันยังสร้่างกำแพงกับเมมเบอร์คนอื่นๆอยู่เลย
แต่พอถึงช่วงMC ฉันก็ดันจ้อไม่หยุดตอนนั้นทุกคนคงแปลกใจกันน่าดู
นอกจากนั้น ในช่วงประชุมสรุปหลังจบสเตจฉันยังแสดงความเห็นออกมาอย่างเปิดเผยอีก
ตอนนั้นอาจเรียกฉันได้ว่า "ยัยเด็กที่อีโก้สูงคนนั้น"ก็ได้ ฮ่าๆ นิสัยนั่นน่ะถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่เปลี่ยนไปเลย

ยังมีอะไรบางอย่างที่ฉันรู้สึกขึ้นมาตอนที่ยืนอยู่บนสเตจ SKE48 ว่า ที่นี่แหละ คือที่ของฉัน
ที่นี่คือที่ที่จะมีใครซักคนพร้อมจะยอมรับในตัวฉันเสมอไม่ว่าฉันจะเป็นคนแบบไหน
ความแปลกที่มีนั้นกลับถูกมองว่ามันคือความเป็นตัวของตัวเอง
สำหรับฉันที่ก่อนหน้านี้เคยใช้ชีวิตแสนไร้ค่ามาตลอด 
คำพูดประมาณว่า "ทำได้ดีมากเลยนะ เรนะจัง" ตกหลุมรักเลย" ได้มอบพลังให้กับฉัน
การได้ยินเสียงเชียร์จากแฟนๆทั้งหลายที่มีให้ ทำให้ฉันคิดขึ้นมาได้ว่า
 "เลือกถูกทางแล้วล่ะ ต้องพยายามให้มากกว่านี้ซะแล้ว"
ฉันยังคงเก็บความรู้สึกเอานี้ไว้ในใจเสมอ อยากจะเป็นที่รู้จักให้มากกว่านี้
และความรู้สึกที่อยากจะทำคะแนนเต็มให้ได้เพื่อที่จะได้รับคำชมเชย อยากจะดึงความรู้สึกนี้เมื่อตอนประถมกลับมาอีกครั้งหนึ่ง
นี่แหละทำไมฉันถึงเลือกที่จะเป็นแบบนี้โดยไม่มีหน้าไม่มีหลังอะไรทั้งนั้น
อยากแสดงตัวตนทุกอย่างของฉันให้ทุกคนเห็นอย่างซื่อตรง ไม่ว่าจะด้านดีหรือแย่
นี่คือการตัดสินใจของฉันค่ะ


จงอย่าลืมตัวคุณคนเก่าเื่มื่อครั้ง 14 ขวบ


ตอนม.ต้น-ม.ปลาย ฉันไม่เคยร้องไห้ให้ใครเห็นเลย เมื่อไหร่ที่รู้สึกไม่พอใจหรือเศร้า ฉันก็จะกวาดมันซ่อนไว้ใต้พรม แสดงความรู้สึกที่แท้จริงออกมาไม่เป็นเลย
ฉันไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างที่ตัวฉันเป็นจริงๆ แต่เมื่อไหร่ได้ที่ยืนอยู่บนเวที ทั้งพลังและความรู้สึกต่างๆที่ฉันเก็บงำไว้ในตัวก็ถูกปลดปล่อยออกมา
สิ่งนี้น่ะ เปลี่ยนแปลงทุกๆอย่างในตัวฉันไปโดยสิ้นเชิง

การที่ได้มาเข้าSKE48 ก็ได้รับโอกาสให้พานพบผู้คนต่างๆมากมายที่คอยช่วยให้ฉันได้เติบโตขึ้น ทีละนิดๆ
หลังๆมานี้ฉันใส่ใจคนรอบตัวมากขึ้นและยังเริ่มเข้าหารุ่นน้องก่อนแล้วด้วย
จนกระทั่งทุกวันนี้ฉันก็ยังสนใจแต่ัตัวละคร2Dนะแต่ก็เริ่มค่อยๆเรียนรู้ขึ้นมาบ้างแล้วล่ะว่ามนุษย์จริงๆเองก็น่าสนใจเหมือสนกัน
นี่ฉันเริ่มชอบผู้คนขึ้นมาแล้วหรือเปล่านะ? เพราะฉันเริ่มรู้สึกว่าอยากจะเรียนรู้เรื่องของสมาชิกคนอื่นๆมากขึ้นแล้วล่ะ
"เพิ่งมารู้สึกตอนนี้เนี่ยนะ!?" ก็นะ? ก็จริงแหละที่ฉันใช้เวลานานอยู่ (ฮ่า)
ตั้งแต่นี้ไปฉันอยากจะพบปะผู้คนใหม่ๆมากขึ้น พูดคุยกับพวกเขา แลกเปลี่ยนเรื่องราวต่างๆ
คงจะดีนะถ้าจะได้เรียนรู้เรื่องราวอีกมากมายที่หาไม่ได้ในมังงะหรืออนิเม
เป้าหมายอันดับแรกของฉันในตอนนี้คือเผยแพร่คำสองคำนี้ไปให้ทั่ว "มัตสึอิ เรนะ" ฉันอยากจะก้าวไปถึงจุดที่ผู้คนทั้งหลายจะเห็นภาพฉันขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินชื่อของฉัน
โดยที่เชื่อว่ามันจะเป็นประตูนำฉันไปสู่บทบาทที่ฉันมุ่งหมายจะแสดง 
ฉันจะอ่อนข้อแบบนี้ตลอดไปไม่ได้หรอกนะ...แต่มันแปลกใช่ไหม? 
ที่เด็กสาวที่เคยเป็นคนจืดจาง นั่งอยู่มุมห้องพยายามทำตัวไร้ตัวตนกลับมาไกลได้ถึงกับคิดว่า "ฉันอยากจะโดดเด่น ยิ่งกว่าทุกคน"เนี่ย?
คิดไม่ถึงเลยนะว่าจะกลายมาเป็นแบบนี้ได้

ทุกวันนี้จะโดนแฟนๆที่มีลูกแล้วถามประจำเลยว่า "เลี้ยงลูกแบบไหนถึงจะโตมาเป็นแบบเธอได้?"
พอเึค้าถามแบบนี้ก็จะตอบกลับไปว่า "ก็แค่ให้เค้าเป็นโอตาคุน่ะค่ะ"ตลอดเลย 

แล้วรีแอคชั่นของแต่ละคนก็จะแบบว่า "เอ๋!?" แต่พอมองย้อนกลับไป ฉันว่านี่เป็นกุญแจสำคัญเลยนะ ฮ่า
เอาง่ายๆถ้าคุณเคยผ่านช่วงชีวิตที่เป็น"จูนิเบียว"(เด็กที่คิดว่าตัวเองเก่ง)มาแล้ว คุณจะกลายเป็นแบบนี้เอง




TBC

credit : sakaeandfrog

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น